พอดีเราเป็นกิจการเล็กๆ แรกก็ขายหน้าร้าน พอหน้าร้านแย่ ก็มาขายออนไลน์ ได้ขายของผ่านแพตฟอรม์ขายหนึ่ง ซึ่งพึ่งยอดขายเกิน 1.8 ล้าน ซึ่งกำไรแทบไม่เห็น เพราะตลาดการแข่งขันสูง ไม่ถูกจริง ไม่ปรับเท่ากับคนที่ตัดราคาเจ้าอื่น ก็ขายยาก ที่นี้ต้องมาทำภาษีมูลค่าเพื่มที่ หักกับตัวเองก็ตาย ให้ลูกค้าจ่าย ก็ยอดตกแน่นอน คือไม่มีทิศทางไหนดีกับเจ้าของกิจการเลย
และปรึกษาน้องที่มีความรู้ด้านบัญชีก็บอกเราว่า ถ้าไม่จดก็ไม่ได้ แต่ถ้าจดก็มีภาระมากมาย ตัวอย่างที่พอสรุปได้
1 .อาจต้องหานักบัญชีมาทำบัญชีให้ เพราะต้องส่งข้อมูลการขายการซื้อให้สรรพากรทุกเดือน (ประเมินค่าใช้จ่ายตรงนี้คร่าวๆ ทำให้ยอดตกยังคุ้มกว่า)
สมมุติว่าถ้าทำเองก็เผื่อประหยัดค่าใช้จ่ายก็ต้องละเอียดมากและก็ต้องไปเอกสารให้สรรพากรทุกเดิอน (คือเราก็ตอบลูกค้าและมีหน้าที่ในร้านอื่นต้องทำแน่นอนว่าไม่สามารถเอาเวลาไปทำงานตัวเองได้อย่างเต็มที่หรือเปล่าถ้าทำเอง (อันนี้คิดเบื้องต้นนะคะ)
2.ต้องทำใบกำกับภาษีให้ลูกค้าและเก็บไว้ให้สรรพากร ค่ากระดาษก็เพิ่มขึ้น +ค่าเสียเวลามานั่งทำ+100ออเดอก็100ใบ แทนที่จะได้ใช้อย่างอื่น หรือเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อร้าน ทีคิดเพราะมันได้รายได้ไม่เยอะ แต่ต้องเสียรายจ่ายเพิ่มและเสียเวลา
3. ที่กล่าวเบื้องต้นคือต้องไปนั่งคำนวณว่าจะทำไงกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็น ถ้าทำให้ลูกค้าจ่ายทั้งหมดกิจการไม่รอดแน่
มีคนแนะนำให้เพิ่มมูลค่าสินค้าให้ได้ โอเค เราก็ทำ แต่ถ้าเราทำแล้วโอเค ไม่นานก็มีคนทำตาม และก็ตัดราคา (ต้องขยันคิด แค่ไหน คงต้องขยันอีก10เท่า)
ตอนแรกที่ศีกษาตรงนี้ คิดว่ากำไร ถึง1.8 พอศึกษาไปศึกษามา คือเงินเข้าบัญชี 1.8 แล้วร้านเรา ได้กำไรของสินค้า เฉลี่ย15- 20 % บางตัวขายโล๊ะเท่าทุนขาดทุนเพื่อเอาเงินมาหมุน หักค่าใช้จ่าย เกียวกับร้านก็เหลือประมาณ 10% แล้วปีที่แล้วขาดทุนไป 6เดือน 6เดือนที่อยู่รอดเพราะพอมีเงินเก็บบ้าง และใช้อย่างประหยัด เพราะต้องจ่ายคนที่ช่วยงานและรายจ่ายต่างๆนานๆ (ทยอยเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น และก็ได้ใช้และเกือบตาย) (เดือนไหนที่ขายไม่ถึง 1แสน 5 ขาดทุน เพราะรายจ่ายสูง)
แล้วพยายามไปอ่านกระทู้อื่นเกียวกับภาษี คนที่แสดงความเห็นเกียวกับเรื่องพวกนี้ ชอบพูดว่า ขายกันดี อิ่มหมีปลามัน แต่สรรพากรเรียกเก็บทำเป็นไม่อยากจ่าย ไม่อยากทำให้ถูกต้อง ทำมาเป็นบ่น
อยากบอกแทนในฐานนะ เจ้าของกิจการเหมือนกันว่า 1. แค่จะหาความรู้ดำเนินกิจการให้ธุรกิจขายดีและอยู่รอดนี่ ยังแทบไม่มีเวลา อันไหนประหยัดได้ก็ประหยัดเลือกทำเอง งานกระจุกกระจิกก็เยอะหน่อย เพราะไม่ประหยัดก็อยู่ยาก 2. ถ้าได้กำไรดีจริงๆ อยากจ่าย โดยไม่ต้องคิดมาก (อยางภาษีมูลค่าเพิ่มถ้ากำไรดีจริงอยากออกให้ลูกค้าเลย เพราะ+เพิ่มกับลูกค้าไปคิดว่าลูกค้าคงเปลี่ยนร้าน ก็ไม่น่าจะรอด ไม่มีทางไหนเป็นทางออกที่ดีเลย
ขอเล่าด้วยความน้อยใจนิดหนึ่ง
มีคนบอกว่าต้องปรับตัว แล้วถามนิดหนึ่งต้องปรับขนาดไหนถึงจะอยู่รอด นี่บอกเลยพยายามปรับตัวตลอด ก็เกือบตาย
และใช้ชีวิตประหยัดมากไม่เที่ยว ไม่ซื้อรถ บ้านมีมอไซร์เก่าๆคันหนึ่งพอไปไหนมาไหนได้เพราะไมค่อยไปไหน กิจการมีลูกน้อง 2คนคอยช่วยงาน ที่จะ ซื้อก็มีแต่บ้าน เพือทำเป็นกิจการในตัว ไม่ฟุมเฟื่อยเลย และถือว่าโชคดีพ่อแม่ยังแข็งแรง ยังไม่มีภาระอะไรมาก มีส่งให้น้องเป็นค่าเรียน เฉลี่ยต่อเดือนไม่เท่าไหร่ ภาระไม่เยอะมากและประหยัดมาก ยังเดือดร้อนขนาดนี้ (ปีหน้าน้องเข้ามหาลัยนี่คิดหนัก)
ภาษีมูลค่าเพิ่มนี่ทำแน่นอนคะ เพราะไม่ทำก็ผิดกฏหมายไม่อยากปวดหัวมากกว่านี้
แต่ก็อยากมาบอกเล่าถึงความเจ็บปวดในฐานะเจ้าของกิจการคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วถ้าไม่ตายไปซะก่อนก็ต้องสู้อยู่ดี ใครมีคำแนะนำอะไร หรือคิดว่าเราเข้าใจผิดตรงไหนแจ้งได้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าคะ
การแข่งขันเรื่องราคาในตลาดสูงแต่ต้อง+7 %กับลูกค้าและภาระเราต้องเพิ่มขึ้นแบบนี้เราทำอย่างไรได้บ้าง
และปรึกษาน้องที่มีความรู้ด้านบัญชีก็บอกเราว่า ถ้าไม่จดก็ไม่ได้ แต่ถ้าจดก็มีภาระมากมาย ตัวอย่างที่พอสรุปได้
1 .อาจต้องหานักบัญชีมาทำบัญชีให้ เพราะต้องส่งข้อมูลการขายการซื้อให้สรรพากรทุกเดือน (ประเมินค่าใช้จ่ายตรงนี้คร่าวๆ ทำให้ยอดตกยังคุ้มกว่า)
สมมุติว่าถ้าทำเองก็เผื่อประหยัดค่าใช้จ่ายก็ต้องละเอียดมากและก็ต้องไปเอกสารให้สรรพากรทุกเดิอน (คือเราก็ตอบลูกค้าและมีหน้าที่ในร้านอื่นต้องทำแน่นอนว่าไม่สามารถเอาเวลาไปทำงานตัวเองได้อย่างเต็มที่หรือเปล่าถ้าทำเอง (อันนี้คิดเบื้องต้นนะคะ)
2.ต้องทำใบกำกับภาษีให้ลูกค้าและเก็บไว้ให้สรรพากร ค่ากระดาษก็เพิ่มขึ้น +ค่าเสียเวลามานั่งทำ+100ออเดอก็100ใบ แทนที่จะได้ใช้อย่างอื่น หรือเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเพื่อร้าน ทีคิดเพราะมันได้รายได้ไม่เยอะ แต่ต้องเสียรายจ่ายเพิ่มและเสียเวลา
3. ที่กล่าวเบื้องต้นคือต้องไปนั่งคำนวณว่าจะทำไงกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็น ถ้าทำให้ลูกค้าจ่ายทั้งหมดกิจการไม่รอดแน่
มีคนแนะนำให้เพิ่มมูลค่าสินค้าให้ได้ โอเค เราก็ทำ แต่ถ้าเราทำแล้วโอเค ไม่นานก็มีคนทำตาม และก็ตัดราคา (ต้องขยันคิด แค่ไหน คงต้องขยันอีก10เท่า)
ตอนแรกที่ศีกษาตรงนี้ คิดว่ากำไร ถึง1.8 พอศึกษาไปศึกษามา คือเงินเข้าบัญชี 1.8 แล้วร้านเรา ได้กำไรของสินค้า เฉลี่ย15- 20 % บางตัวขายโล๊ะเท่าทุนขาดทุนเพื่อเอาเงินมาหมุน หักค่าใช้จ่าย เกียวกับร้านก็เหลือประมาณ 10% แล้วปีที่แล้วขาดทุนไป 6เดือน 6เดือนที่อยู่รอดเพราะพอมีเงินเก็บบ้าง และใช้อย่างประหยัด เพราะต้องจ่ายคนที่ช่วยงานและรายจ่ายต่างๆนานๆ (ทยอยเก็บไว้ใช้ยามจำเป็น และก็ได้ใช้และเกือบตาย) (เดือนไหนที่ขายไม่ถึง 1แสน 5 ขาดทุน เพราะรายจ่ายสูง)
แล้วพยายามไปอ่านกระทู้อื่นเกียวกับภาษี คนที่แสดงความเห็นเกียวกับเรื่องพวกนี้ ชอบพูดว่า ขายกันดี อิ่มหมีปลามัน แต่สรรพากรเรียกเก็บทำเป็นไม่อยากจ่าย ไม่อยากทำให้ถูกต้อง ทำมาเป็นบ่น
อยากบอกแทนในฐานนะ เจ้าของกิจการเหมือนกันว่า 1. แค่จะหาความรู้ดำเนินกิจการให้ธุรกิจขายดีและอยู่รอดนี่ ยังแทบไม่มีเวลา อันไหนประหยัดได้ก็ประหยัดเลือกทำเอง งานกระจุกกระจิกก็เยอะหน่อย เพราะไม่ประหยัดก็อยู่ยาก 2. ถ้าได้กำไรดีจริงๆ อยากจ่าย โดยไม่ต้องคิดมาก (อยางภาษีมูลค่าเพิ่มถ้ากำไรดีจริงอยากออกให้ลูกค้าเลย เพราะ+เพิ่มกับลูกค้าไปคิดว่าลูกค้าคงเปลี่ยนร้าน ก็ไม่น่าจะรอด ไม่มีทางไหนเป็นทางออกที่ดีเลย
ขอเล่าด้วยความน้อยใจนิดหนึ่ง
มีคนบอกว่าต้องปรับตัว แล้วถามนิดหนึ่งต้องปรับขนาดไหนถึงจะอยู่รอด นี่บอกเลยพยายามปรับตัวตลอด ก็เกือบตาย
และใช้ชีวิตประหยัดมากไม่เที่ยว ไม่ซื้อรถ บ้านมีมอไซร์เก่าๆคันหนึ่งพอไปไหนมาไหนได้เพราะไมค่อยไปไหน กิจการมีลูกน้อง 2คนคอยช่วยงาน ที่จะ ซื้อก็มีแต่บ้าน เพือทำเป็นกิจการในตัว ไม่ฟุมเฟื่อยเลย และถือว่าโชคดีพ่อแม่ยังแข็งแรง ยังไม่มีภาระอะไรมาก มีส่งให้น้องเป็นค่าเรียน เฉลี่ยต่อเดือนไม่เท่าไหร่ ภาระไม่เยอะมากและประหยัดมาก ยังเดือดร้อนขนาดนี้ (ปีหน้าน้องเข้ามหาลัยนี่คิดหนัก)
ภาษีมูลค่าเพิ่มนี่ทำแน่นอนคะ เพราะไม่ทำก็ผิดกฏหมายไม่อยากปวดหัวมากกว่านี้
แต่ก็อยากมาบอกเล่าถึงความเจ็บปวดในฐานะเจ้าของกิจการคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วถ้าไม่ตายไปซะก่อนก็ต้องสู้อยู่ดี ใครมีคำแนะนำอะไร หรือคิดว่าเราเข้าใจผิดตรงไหนแจ้งได้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าคะ